ที่ปรึกษา ecommerce

ที่ปรึกษา ecommerce

ที่ปรึกษา ecommerce

ที่ปรึกษา ecommerce ที่ปรึกษา การตลาดออนไลน์ ที่ปรึกษาธุรกิจออนไลน์ หรือ ที่ปรึกษา ขายสินค้าออนไลน์ ดูราวกับว่าจะเป็นหน้าที่ ที่ค่อนข้างนานาประการในทางปฏิบัติ คนที่จะอยู่ใน ฐานะ ตำแหน่ง หรือ ปฏิบัติภารกิจ นี้ หรือ รับขอความเห็นการตลาดออนไลน์ ได้ ควรต้องเป็นผู้ที่สามารถส่งมอบความให้การช่วยเหลือใน หลากหลายมุมมอง และ มากมายความชำนาญไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของ การตลาด รวมทั้ง ที่ ปรึกษา ecommerce ทำธุรกิจ ที่ปรึกษาด้านการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่องทางออนไลน์ จึงควรให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ รวมทั้ง การวางแผน และก็ ค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพื่อทำให้แน่ใจได้ว่า ธุรกิจจะสามารถใช้พลังของโลกอินเตอร์เน็ต แล้วก็ อินเตอร์เน็ต ทำการตลาดเพื่อติดต่อสื่อสารไปถึง กรุ๊ปลูกค้าจุดมุ่งหมาย ได้อย่างถูกแนวทางและถูกช่องถูกทางทาง

E-Commerce เป็นยังไง?

E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerce แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นกระบวนการทำธุรกิจโดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมเป็น วิทยุ ทีวี แล้วก็ที่มีการใช้งานมากที่สุดในขณะนี้ก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้อีกทั้งข้อความ เสียง ภาพ และก็คลิปวิดีโอสำหรับในการทำธุรกิจได้ วิธีการทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางแล้วก็ทำให้ทุ่นค่าใช้จ่ายต่างๆสำหรับในการดำเนินการได้อย่างดีเยี่ยม

ประเภทของ E-Commerce

1.ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก หรือ บีทูซี (B-to-C = Business to Consumer)หมายถึงผู้ซื้อปลีกซื้อสินค้าจากคนขายผ่านอินเตอร์เน็ต อาทิเช่นs แนวทางการขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง เป็นต้น

2.ธุรกิจกับธุรกิจ หรือ บีทูบี (B-to-B = Business to Business) คือ ผู้ประกอบกิจการสองฝ่ายทำการติดต่อจำหน่ายกัน โดยวิธีขายในที่นี้เป็นการขายส่ง ซึ่งกระทำสั่งซื้อผ่านอินเทอร์เน็ต

3.ธุรกิจกับรัฐบาล หรือ บีทูจี (B-to-G = Business to Government)หมายถึงธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ยกตัวอย่างเช่น การจัดว่าจ้างของภาครัฐโดยประกาศผ่านทางเว็บไซต์ของเมืองเพื่อทุ่นค่าใช้จ่าย

4.รัฐบาลกับรัฐบาล หรือ จีทูจี (G-to-G = Government to Government) คือ การติดต่อกันระหว่างหน่วยงานในรัฐบาล เป็นการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกระทรวง

5.คนซื้อกับผู้ซื้อ หรือ ซีทูซี (C-to-C = Consumer to Consumer) คือ การติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างลูกค้าด้วยกันเอง กล่าวคือ ผู้ใช้ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจประกาศขายของของตน และก็ลูกค้าอีกคนก็พอใจสั่งซื้อไป การประกาศขายนี้ส่วนมากทำผ่านอินเทอร์เน็ตเนื่องจากว่ามีพื้นที่ให้ติดต่อจำหน่ายได้สะดวก รวมทั้งหาคนที่มีความสนใจเช่นเดียวกันได้ง่ายอีกด้วย

6.ภาครัฐกับพลเมือง หรือ จีทูซี (G-to-C = Government to Consumer)เป็นการให้บริการจากทางภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยยิ่งไปกว่านั้นอินเทอร์เน็ต เช่น การคำนวณและเสียภาษีอากรผ่านอินเทอร์เน็ต การดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อสมัครสมาชิกต่างๆผ่านทางเว็บ

กลยุทธ์ด้านการขายประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์นอกเหนือจากการมีเว็บ E-Commerce

ที่ก็ดี การใช้ยุทธวิธีทางการตลาดสำหรับเพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้าทางช่องทางออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเหตุว่าหากว่าไม่มีคนรู้จักและไม่มีคนเข้าชมเว็บหรือผลิตภัณฑ์ แนวทางการขายผลิตภัณฑ์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับกลยุทธ์ด้านการขายออนไลน์ทำแล้วได้ผลแล้วก็ช่วยเพิ่มยอดจำหน่ายได้ก็มีดังนี้

1.SEO (Search Engine Optimization)

เป็นการใช้ประโยชน์จาก Search Engine อย่าง Google เพราะในขณะนี้คนนิยมหาข้อมูลผ่าน Search Engine กันเป็นจำนวนมาก การทำ SEO เป็นกระบวนการทำให้เว็บของเราติดอันดับแรกๆบน Search Engine เพื่อให้มีคนพอใจคลิกเข้ามาดูข้อมูลด้านในเว็บของเรา ช่วยให้ผลิตภัณฑ์และก็บริการของพวกเราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น แล้วก็ยังเพิ่มการรับรู้และความน่าไว้วางใจให้กับเว็บได้อีกด้วยวิถีทางสำหรับการทำ SEO

พื้นฐานเป็นพวกเราควรมีเว็บที่เป็นมิตรต่อ SEO อีกทั้งองค์ประกอบเว็บ ตัวอย่างเช่น กระบวนการทำ Responsive Design เพื่อรองรับการเปิดบนโทรศัพท์มือถือ การผลิตเนื้อหาภายในเว็บไซต์ ได้แก่ การกำหนดชุด Keyword ที่คาดว่าลูกค้าจะใช้เมื่อค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการ แล้วใส่ Keyword พวกนั้นลงในบทความ เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติมอีกเหมาะ SEO (Search Engine Optimization) คือ?)

2.Google Ads (Google AdWords)

เป็นบริการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ของ Google ที่เก็บค่าใช้จ่ายสำหรับโฆษณาตามจำนวนครั้งที่ปรากฏหรือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานคลิกเข้ามา ช่วยทำให้มียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในช่วงเวลาอันเร็ว โดยมีช่องทางสำหรับการลงโปรโมทสำคัญๆเป็น

  • Search Network ที่จะแสดงโฆษณาแบบข้อความบนหน้าผลการค้นหาของ Google บางคราวการลงโฆษณาในลักษณะนี้ก็เรียกกันว่า SEM (Search Engine Marketing) หรือ Pay Per Click (อ่านเสริมเติมพอดี PPC (Pay Per Click) เป็น?) กรรมวิธีนี้ต่างกับ SEO ตรงที่พวกเราสามารถแสดงเว็บไซต์ได้บนหน้าแรกผลของการค้นหาของ Google ได้โดยทันทีโดยการประมูล Keyword ที่อยาก แต่ในการทำ SEO ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเว็บให้มีคุณภาพแล้วก็จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าเว็บจะติดอันดับบนผลการค้นหา
  • Display Network ที่จะแสดงโปรโมทบนเว็บไซต์อื่นๆโดยมีทั้ง ใจความ รูปภาพ และก็วิดีโอ แนวทางการนี้เหมาะกับการโฆษณาเว็บหรือสินค้าให้มีชื่อเสียง โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ประชาสัมพันธ์ปรากฏที่แหน่งใด กลุ่มเป้าหมายเป็นคนใดกัน และก็สามารถลงโปรโมทในเว็บไซต์สื่อดังๆได้ในราคาที่ถูกกว่าการซื้อพื้นที่โดยตรง (อ่านเพิ่มเติมอีกเหมาะ GDN (Google Display Network) คือ?)

3.SMM (Social Media Marketing)

เป็นการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่คนนิยมเล่น อย่าง Facebook, Instagram, Twitter, LINE เป็นสื่อกลางระหว่างเว็บหลักของธุรกิจและก็ผู้ใช้งาน ทำให้คนขายสินค้าสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้โดยทันที ซึ่งโซเชียลเน็ตเวิร์คพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแต่วิถีทางการติดต่อจำหน่ายแค่นั้น แต่ยังเป็นหนทางสำหรับประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ และก็ให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บหลัก

ซึ่งมีส่วนช่วยให้ติดอันดับบน SEO ให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านี้ โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Facebook ก็ยังเป็นวิถีทางที่ได้รับความนิยมสำหรับในการลงประชาสัมพันธ์ โดยสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้แล้วก็มีแบบให้เลือกใช้ตามสิ่งที่จำเป็น อย่างเช่น เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness), เพิ่มผู้เข้าชมที่คลิกไปสู่เว็บ (Website Clicks) เป็นต้น ส่วน YouTube ก็ยังเป็นสื่อที่มาแรงในการลงประชาสัมพันธ์แบบวิดีโอ ซึ่งสามารถตั้งเป้าหมายและก็ประเมินผลได้ ต่างจากการลงโปรโมททางโทรทัศน์ในแบบเดิม (อ่านเพิ่มเติมถึงที่กะไว้ SMM (Social Media Marketing) เป็น?)

4.Content Marketing

เป็นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าแล้วก็มีประโยชน์และก็อาศัยวิถีทางโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆเพื่อยั่วยวนใจกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้าของพวกเรา โดยคอนเทนต์นั้นมีอยู่หลากหลายแบบอย่าง อาทิเช่น บทความ อินโฟกราฟิก คลิปวิดีโอ รวมถึง รายการวิทยุหรือ Podcast ซึ่งคอนเทนต์ต่างๆนั้นควรมีความน่าสนใจแก่การเข้ามารับดูรับฟัง มีคุณค่าสร้างความซาบซึ้งในตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการได้แก่

ถ้าหากทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ วิธีการทำ Content Marketing อาจเขียนเกี่ยวกับจุดเด่นของบ้านแล้วก็คอนโด วิธีการสำหรับเลือกซื้อบ้าน โดยจำเป็นต้องทำคอนเทนต์ออกมาอย่างสม่ำเสมอ จนกลุ่มเป้าหมายเริ่มพอใจเนื่องจากเห็นว่ามีคุณประโยชน์ และเริ่มพึงพอใจในตัวสินค้าของเรานั่นเอง ยิ่งไปกว่านี้วิธีการทำคอนเทนต์ในต้นแบบบทความในเว็บ E-Commerce ยังช่วยในการทำ SEO ได้อีกด้วย

5.Influencer Marketing

เป็นการตลาดที่อาศัย Influencer หรือผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ดังเช่น บิวตี้บล็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์ นักแคสต์เกม เป็นต้น เพื่อช่วยโปรโมตสินค้าหรือธุรกิจของเรา ซึ่งผู้ติดตามของ Influencer จะได้รับอิทธิพลว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นน่าใช้ตาม เพราะผู้ที่ตนชื่นชอบใช้ หรืออาจคิดว่าสินค้านั้นคงจะดี เพราะเหตุว่า Influencer ที่มีชื่อก็ยังคงใช้ หรือคนอาจใช้ผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เมื่อมีความเห็นว่า Influencer

ใช้เช่นเดียวกัน ก็จะยิ่งคิดว่าผลิตภัณฑ์นั้นดี มีคุณภาพ และยิ่งวางใจในผลิตภัณฑ์นั้นมากเพิ่มขึ้นหลักในการทำตลาดอย่างนี้คือ ต้องหา Influencer ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามเยอะแยะเสมอไปเพื่อต้องการยอดผู้เข้าชมให้มากที่สุด ควรจะเน้นคอนเทนต์ที่ดีซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ด้วย จึงจำต้องดูประสิทธิภาพงานของ Influencer ประกอบการไตร่ตรอง (อ่านเสริมเติมเหมาะ Influencer Marketing คือ?)

6.Affiliate Marketing

การตลาดนี้มีความคล้ายกับ Influencer Marketing ตรงที่ใช้ตัวกลางในโลกอินเตอร์เน็ตช่วยประชาสัมพันธ์หรือรีวิวผลิตภัณฑ์ แต่ว่า Affiliate Marketing นั้นมีวิธีการสำคัญคือการให้ค่าแรงเป็นค่านายหน้าจากการช่วยขาย แนวทางการทำ Affiliate Marketing บางทีอาจไม่จำเป็นต้องใช้ Influencer ก็ได้ เพียงแต่เป็น Publisher หรือผู้ครอบครองสื่อที่มีเว็บที่มีผู้เที่ยวชมอย่างสม่ำเสมอหรือหนทางบนโซเชียลมีเดียซึ่งมีผู้ติดตามโดยประมาณหนึ่งอีกอย่างที่ผิดแผกกับ Influencer Marketing

หมายถึงAffiliate Marketing จำเป็นมีระบบระเบียบตัวกลางระหว่างผู้ครอบครองผลิตภัณฑ์กับเจ้าของสื่อที่ช่วยขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น Affiliate Program ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เจ้าของกิจการสร้างเอง หรือใช้บริการผ่าน Affiliate Network ซึ่งเป็นเครือข่ายตัวกลาง เพื่อให้รู้ว่าลูกค้าคลิกสั่งซื้อสินค้าอะไรผ่านสื่อไหน แล้วคำนวณออกมาเป็นเงินค่าจ้างในแบบค่านายหน้าโดยธรรมดา สำหรับเพื่อการทำ Affiliate Marketing

เจ้าของผลิตภัณฑ์จะไม่อาจจะเลือกสื่อได้ แต่ว่าสื่อจะเป็นผู้เลือกสินค้าไปช่วยโฆษณาเอง โดยพินิจจากหลายๆต้นเหตุ ดังเช่นว่า โอกาสสำหรับเพื่อการขายสินค้า ความเกี่ยวเนื่องของสินค้าแล้วก็สื่อนั้นๆค่านายหน้าที่กำลังจะได้รับ ฯลฯ ด้วยเหตุผลดังกล่าวเจ้าของธุรกิจก็เลยสามารถใช้ Influencer Marketing สำหรับในการเฉพาะเจาะจงสื่อที่สามารถช่วยโปรโมทสินค้า และใช้ Affiliate Marketing สำหรับการเพิ่มโอกาสในการขายของก็ได้ หรือถ้าหากต้องการระบุให้สื่อใดเข้าร่วม Affiliate Program กับทางธุรกิจ ก็อาจใช้การติดต่อผ่านสื่อโดยตรงเพื่อยื่นข้อเสนอต่างๆก็ย่อมได้

lapierre-provencher